การสอบทานการทำบัญชีนั้นสำคัญ! การทำบัญชีให้ถูกต้องและมีคุณภาพสำหรับกิจการ SMEs

 การสอบทานการทำบัญชีนั้นสำคัญ! การทำบัญชีให้ถูกต้องและมีคุณภาพสำหรับกิจการ SMEs

   เมื่อธุรกิจเริ่มเปิดดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs  สิ่งที่สำคัญที่สุดถือว่าเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการทำธุรกิจ คือการจัดทำบัญชีเพื่อนำส่งงบการเงินต่อส่วนราชการได้แก่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมสรรพากร

 

   การทำบัญชีในแต่ละปี จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะการส่งงบการเงินดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารของกิจการไม่ว่าจะเป็นความถูกต้องของงบการเงินตามมาตรฐานบัญชี และความถูกต้องครบถ้วนของการนำส่งภาษีประจำปี ทั้งนี้เพื่อป้องกันการถูกเรียก ตรวจสอบ ไต่สวน ประเมิน สั่งให้เสียภาษีอากร และบางครั้งการกระทำดังกล่าวอาจมีความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร

 

    ผู้ทำบัญชีเมื่อได้ทำการบันทึกบัญชีตามเอกสาร และเก็บรายละเอียดประกอบงบการเงินครบถ้วนแล้ว ผู้ทำบัญชีจะต้องสอบทานความถูกต้องของการทำบัญชี รวมถึงการปรับปรุงเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง และจะต้องนำข้อมูลไปจัดทำงบการเงิน นำส่งผู้บริหารพร้อมทั้งชี้แจงรายละเอียดในงบการเงินต่อผู้บริหาร  ผู้บริหารของกิจการจะต้องทำความเข้าใจและซักถามข้อมูลรายละเอียดในงบการเงินจนเข้าใจ  และนำข้อมูลไปบริหารจัดการต่อไป

 

      ดังนั้นผู้ทำบัญชี และผู้บริหารจะต้องกระบวนการสอบทานความถูกต้องของการจัดทำบัญชี และการนำข้อมูลมาจัดทำงบการเงินอย่างมีประสิทธิภาพดังนี้

 

  1. การรับรู้รายได้ และค่าใช้จ่าย ในแต่ละประเภทธุรกิจย่อมจะมีการรับรู้รายได้ และค่าใช้จ่าย ให้สอดคล้องกับประเภทธุรกิจเป็นการใช้เกณฑ์สิทธิ์ตามมาตร 65 แห่งประมวลรัษฎากร ( เกณฑ์การรับรู้รายได้และรายจ่ายเกิดขึ้นหรือเป็นของรอบบัญชีใด ก็ให้ถือเป็นรายได้และรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น )
  2. รายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร เมื่อบันทึกบัญชีเสร็จสิ้น ก่อนการส่งงบการเงินให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบ ผู้ทำบัญชีจะต้องทำการคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปีของกิจการ  ดังนั้นรายจ่ายที่จะนำไปหักออกจากรายได้จะต้องเป็นรายจ่ายที่สรรพากรยอมรับ คือไม่เป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร ในทางปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดเมื่อพบค่าใช้จ่ายประเภทนี้ จะต้องนำไปบวกกลับ ในการคำนวณกำไรสุทธิประจำปี
  3. การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาทรัพย์สิน   เมื่อมีการซื้อทรัพย์สินมาจะต้องมีการบันทึกต้นทุนของทรัพย์สิน และในแต่ละปีจะต้องคำนวณค่าเสื่อมราคาเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 145 มาตรา 4
  4. การปรับปรุงกำไรสุทธิทางบัญชีให้เป็นกำไรทางภาษีอากร(บวกกลับ)  ซึ่งจะต้องเป็นไปตามมาตรา 65 ทวิ และ65 ตรี
  5. ภาษีมูลค่าเพิ่ม มีการสอบทานความครบถ้วน ถูกต้องของการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มประจำเดือน โดยเฉพาะ ธุรกิจบริการจะต้องมีการกระทบรายได้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มถูกต้องและครบถ้วน
  6. การหักภาษี ณ ที่จ่าย มีการสอบทานความครบถ้วนถูกต้อง  ตามมาตรา 3 เตรส หรือคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528
  7. รายจ่ายสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร  ซึ่งเป็นรายจ่ายที่ตามประมวลรัษฎากรได้ให้สิทธิประโยชน์รายจ่ายบางประเด็นให้กิจการถือเป็นรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากที่ได้จ่ายไปจริง
  8. อากรแสตมป์  ในสัญญาต่างๆทางธุรกิจ จะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง และครบถ้วน ไม่ว่าในส่วนของการชำระเป็นตัวเงินหรือการปิดอากรแสตมป์
  9. การวิเคราะห์งบการเงินในมิติต่างๆ โดยเทียบกับปีก่อน เพื่อหาสิ่งที่ผิดปกติ  และสอบทานข้อมูลอีกครั้งเพื่อป้องกันความผิดพลาดจากการบันทึกบัญชี
  10. ภาษีธุรกิจเฉพาะ เช่น จะต้องสอบทานการนำส่งภาษีธุรกิจเฉพาะจากดอกเบี้ยรับจากบัญชีลูกหนี้เงินยืมกรรมการ เป็นต้น

 

 

 

   กล่าวโดยสรุป ในการทำบัญชี  ผู้ทำบัญชี จะต้องสอบทานความถูกต้องของการบันทึกบัญชี และการสรุปจัดทำการคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี นำเสนอผู้บริหารและชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน และ ส่งงบการเงินและรายละเอียดประกอบงบการเงินให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งจะทำให้ลดความเสี่ยงจากการผิดพลาด และความครบถ้วนของการนำส่งภาษีประจำปี ทั้งนี้เพื่อป้องการการเรียกตรวจสอบบัญชีจากกรมสรรพากร เพราะในปัจจุบันกรมสรรพากรได้จัดทำนโยบาย BIG CHANGE

 

   ปัจจุบันกรมสรรพากร  เน้นพัฒนาระบบ IT เพื่อต่อยอดบริการใหม่ๆและรณรงค์ให้ผู้เสียภาษียื่นแบบทางอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งในอนาคตกรมสรรพากรจะมีข้อมูลการนำส่งภาษีไว้พร้อมเพื่อนำมาวิเคราะห์ความถูกต้องและครบถ้วนของการนำส่งภาษีธุรกิจต่างๆ ซึ่งหากกิจการไม่มีระบบการสอบทานก็อาจถูกกรมสรรพากรออกหมายเรียกตรวจสอบแนะนำได้

 

 

 

บทความทางบัญชี