การทำบัญชีให้ถูกต้อง และมีคุณภาพ

การทำบัญชีให้ถูกต้องและมีคุณภาพ

 

   1.การทำบัญชีให้ถูกต้อง

      การทำบัญชีให้ถูกต้อง หมายถึง การทำบัญชีให้ถูกต้องตาม พรบ.การบัญชี และตามประมวลรัษฎากร

 

      ถูกต้องตาม พรบ.การบัญชี

      หมายถึง ผู้ทำบัญชี จะต้องมีคุณสมบัติของผู้ทำบัญชี ดังนี้

         มีคุณสมบัติ และเงื่อนไข ที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด

        ประกาศกรมทะเบียนการค้ากำหนดคุณสมบัติ และเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชีปี2543ใช้ตั้งแต่ 10 ส.ค.54 เช่น มีคุณสมบัติ และถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร,มีความรู้ภาษาไทย,ไม่เคยต้องโทษกฎหมายบัญชี หรือผู้สอบบัญชี เป็นต้น

 

      – ควบคุมดูแลการทำบัญชีให้เป็นไป ตามมาตรฐานการบัญชี ตรงความเป็นจริง และถูกต้อง

 

      จัดให้มีการทำบัญชี ตามมาตรฐานการบัญชี

      การทำบัญชี ต้องครบถ้วนถูกต้องตามที่อธิบดีประกาศกำหนดเกี่ยวกับ ดู ประกาศกรมทะเบียนการค้าเรื่อง กำหนดชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ ข้อความและรายการที่ต้องมีในบัญชี ระยะเวลาที่ต้องลงรายการในบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๔

 

         ชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ

         บัญชีรายวัน เช่น บัญชีรายวันซื้อ,รานวันขาย,รายวันทั่วไป

         บัญชีเงินสด,บัญชีเงินฝากธนาคาร

         บัญชีสินค้าคงคลัง

 

         ข้อความและรายการที่ต้องมีในบัญชี

  1. บัญชีเงินสด หรือบัญชีธนาคาร ให้มีรายละเอียดการได้มาหรือจ่ายไปซึ่งเงินสด เงินในธนาคาร เน้นที่มีในเอกสาร
  2. บัญชีรายวันซื้อหรือบัญชีรายวันขาย ให้มีรายละเอียด ชนิด ประเภท จำนวน และราคาของสินค้าหรือบริการที่ซื้อขาย แต่ถ้ามีรายละเอียดดังกล่าวในเอกสารประกอบการลงบัญชี
  3. บัญชีรายวันทั่วไป ให้มีคำอธิบายรายการบัญชี
  4. บัญชีแยกประเภทสินทรัพย์ หนี้สินและทุน ให้มีรายละเอียดการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสินทรัพย์ หนี้สินและทุน โดยให้อ้างชนิดของบัญชีและหน้าบัญชีหรือรหัสที่อ้างอิงด้วย
  5. บัญชีแยกประเภทรายได้และค่าใช้จ่าย ให้มีรายละเอียดที่มาแห่งรายได้หรือค่าใช้จ่าย โดยให้อ้างชนิดของบัญชีและหน้าบัญชีหรือรหัสที่อ้างอิงด้วย
  6. บัญชีแยกประเภทลูกหนี้หรือบัญชีแยกประเภทเจ้าหนี้ ให้มีชื่อลูกหนี้หรือเจ้าหนี้การแสดงรายการบัญชีให้มีรายละเอียดการก่อหนี้หรือระงับหนี้ การลงรายการดังกล่าวให้อ้างชนิดของบัญชีและ
  7. หน้าบัญชีหรือรหัสที่อ้างอิงด้วย    (๗) บัญชีสินค้า ให้มีชื่อ ชนิด จำนวน หน่วยนับ รายละเอียดการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินค้า และจำนวนสินค้านั้นระยะเวลาที่ต้องมีในบัญชี
  1. บัญชีรายวัน ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่รายการนั้นเกิดขึ้น
  2. บัญชีแยกประเภท ต้องผ่านรายการจากบัญชีรายวันภายในสิบห้าวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่รายการนั้นเกิดขึ้น
  3. บัญชีสินค้า ภายในสิบห้าวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่รายการนั้นเกิดขึ้น
           

         ในกรณีที่เป็นบัญชีตาม (2) และ (3) ซึ่งต้องมีการลงรายการยอดคงเหลือต้องลงรายการยอดคงเหลือให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันปิดบัญชี

 

         เอกสารที่ต้องใช้ประกอบในการลงบัญชี

         –  จัดให้มีเอกสารประกอบการลงบัญชีได้แก่ บันทึก หรือเอกสารใดๆที่ใช้เป็นหลักฐานในการลงรายการในบัญชี

         –  ส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้ผู้ทำบัญชี เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบส่งของใบสำคัญรับ-จ่าย ฯลฯถูกต้องครบถ้วนเพื่อให้บัญชีที่จัดทำขึ้นให้สามารถแสดงผลการดำเนินงานฐานะการเงินหรือการเปลี่ยนแปลง ฐานะการเงินที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตาม มาตรฐานการบัญชี

 

         ปิดบัญชีและจัดทำงบการเงิน

          –   ปิดบัญชีครั้งแรกภายใน 12 เดือน นับแต่วันที่เริ่มทำบัญชีและปิดบัญชี ทุกรอบ 12 เดือน นับแต่วันปิดบัญชีครั้งก่อน

          –   จัดทำงบการเงิน โดยมีรายการย่อตามที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าประกาศกำหนด

 

         งบการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีดังต่อไปนี้ ต้องมีรายการย่อตามที่กำหนดในแบบที่แนบท้ายประกาศฉบับนี้ คือ
          (1) ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ต้องมีรายการย่อตามที่กำหนดในแบบ 1
          (2) บริษัทจำกัด ต้องมีรายการย่อตามที่กำหนดในแบบ 2
          (3) บริษัทมหาชนจำกัด ต้องมีรายการย่อตามที่กำหนดในแบบ 3
          (4) นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ต้องมีรายการย่อตามที่กำหนดในแบบ 4
          (5) กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร ต้องมีรายการย่อตามที่กำหนดในแบบ 5

 

          ข้อ 3 ในกรณีที่ลักษณะหรือสภาพของธุรกิจไม่มีรายการที่ต้องแสดงรายการย่อครบตามแบบ ที่กำหนดไว้ ก็ให้งดเว้นไม่ต้องแสดงรายการย่อที่ไม่มีดังกล่าว

          ข้อ 4 งบกำไรขาดทุนอาจเลือกแสดงแบบจำแนกค่าใช้จ่ายตามลักษณะของค่าใช้จ่าย หรือแบบจำแนกค่าใช้จ่ายตามหน้าที่-แบบขั้นเดียว หรือแบบจำแนกค่าใช้จ่ายตามหน้าที่-แบบหลายขั้นก็ได้

          ข้อ 5 งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น หรืองบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของสำนักงานใหญ่ หรืองบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ร่วมค้า อาจเลือกแสดงเป็นแบบงบแสดงการรับรู้รายได้และค่าใช้จ่ายแทนก็ได้

          ข้อ 6 ในกรณีที่มาตรฐานการบัญชีกำหนดให้มีการแสดงรายการที่แตกต่างหรือนอกเหนือ จากรายการที่กำหนดไว้ตามประกาศฉบับนี้ก็ให้ปฏิบัติตามที่มาตรฐานการบัญชี กำหนด

          ข้อ 7 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสำหรับการจัดทำงบการเงินซึ่งมีรอบปีบัญชีเริ่มต้นใน หรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป แต่ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดในประกาศฉบับนี้ได้ก่อน ถึงกำหนดเวลาใช้บังคับก็ให้กระทำได้ และให้ถือว่าผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีนั้นได้จัดทำงบการเงินโดยถูกต้องตามข้อ กำหนดในเรื่องนี้แล้ว

 

          –  จัดให้งบการเงินได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเว้นแต่งบการเงินของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่มีหุ้นไม่เกินห้าล้านบาทสินทรัพย์รวมไม่เกินสามสิบล้านบาทและรายได้รวมไม่เกินสามสิบล้านบาท ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดให้งบการเงินได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาติ

 

         การยื่นงบการเงิน

         –  ยื่นงบการเงินต่อสำนักงานกลางบัญชีหรือสำนักงานบัญชีประจำท้องที่ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนดและภายในเวลาที่กำหนด

         –  ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน,นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ,กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร จะต้อง ยื่นงบการเงินภายใน 5 เดือน นับแต่วันปิดบัญชี

         –  บริษัทจำกัด,บริษัทมหาชนจำกัด จะต้องยื่นงบการเงินภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่งบการเงินนั้น
ได้รับอนุมัติในที่ประชุมใหญ่

เก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี

        –  เก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี ไว้ ณ สถานที่ทำการหรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการผลิตหรือเก็บสินค้าเป็น ประจำหรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำงานประจำ

       –  เก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันปิดบัญชี

       –  นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ บุคคลธรรมดาตามประเภท ที่กำหนดให้ทำบัญชีเมื่อเลิกประกอบธุรกิจธุรกิจ ต้องส่งมอบบัญชีและ เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีภายใน 90 วันนับแต่วัน เลิกประกอบธุรกิจ

 

      ถูกต้อง ตามประมวลรัษฎากร

      หมายถึง การวางแผนภาษี ของแต่ละประเภทของกิจการ เพื่อให้กิจการได้รับประโยชน์สูงสุด ลดต้นทุนให้ต่ำลงภายใต้เงื่อนไขที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นการวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันภาระที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตของกิจการ ดังนั้นการวางแผนภาษี (Tax Planning) ไม่ใช่เป็นการหลบเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance) หรือหนีภาษี (Tax Evasion) ก่อนที่จะมีการวางแผนภาษีนั้นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการวางแผนภาษีดังต่อไปนี้


         1.  ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย

         ในการวางแผนภาษีอากรผู้วางแผนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจตัวบทกฎหมายอย่างชัดเจนถูกต้อง ไม่หลงลืมประเด็นหนึ่งประเด็นใดในตัวบทกฎหมายภาษีอากร นอกจากนี้จะต้องศึกษาคำพิพากษา และข้อหารือของกรมสรรพากรประกอบการวางแผนภาษีอากรให้รัดกุมครบถ้วน และทำให้กิจการเสียภาษีโดยประหยัดและถูกต้อง สิ่งที่ผู้วางแผนภาษีควรคำนึงถึงอย่างหนึ่งก็คือ อย่ามองแง่ใดแง่หนึ่งเพียงแง่เดียว จะต้องมองรายละเอียดของภาษีอากรที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนและถูกต้อง 


         2.  ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด    

         จะต้องศึกษาข้อกฎหมายที่จะทำให้กิจการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด โดยการกำหนดทางเลือกในการนำเงื่อนไขทางกฎหมายมาใช้ให้กิจการได้รับประโยชน์สูงสุดและถูกกฎหมายอีกด้วย เช่น รายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมการขายกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้รับการยกเว้น


         3.  ปลอดภัยจากภาระที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

         การวางแผนภาษีอากรจะต้องคำนึงถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตหากมุมมองของผู้วางแผนขาดความรอบครอบในการศึกษาตัวบทกฎหมายได้อย่างถูกต้องแล้วอาจเกิดปัญหาได้ในอนาคตโดยถูกสรรพากรเรียกตรวจสอบและประเมินภาษี ทำให้กิจการมีราจ่ายเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด


         4.  มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและสมเหตุผล

         เมื่อมีการวางแผนภาษีอากรในเรื่องหนึ่งเรื่องใดจะต้องมีการยกกฎหมายมาอ้างอิงให้ชัดเจน สามารถตอบคำถามในปัญหาต่าง ๆ ในประมวลรัษฎากร คำพิพากษา ข้อหารือของกรมสรรพากร หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องสามารถหาคำตอบได้เป็นที่ยอมรับของฝ่ายจัดการหรือฝ่ายบริหารอย่างไม่มีข้อสงสัย และเชื่อถือได้ในข้อมูลที่นำมาอ้างอิงเพื่อการวางแผนภาษี


         5.  ช่วยในการลดต้นทุน

        กิจการที่มีการวางแผนภาษีอากรจะทำให้กิจการสามารถลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น การขอรับสิทธิส่งเสริมการลงทุนทำให้กิจการได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การยกเว้นภาษีอากรสำหรับส่วนแบ่งกำไรหรือเงินปันผล การประกอบกิจการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกซึ่งเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 การจัดซื้อทรัพย์สินที่ใช้ในการวิจัยและพัฒนาที่ได้รับสิทธิในการคำนวณค่าเสื่อมราคามากกว่าปกติ เป็นต้น นอกจากจะช่วยในการลดต้นทุนของกิจการแล้วยังช่วยในการเพิ่มกำไรสุทธิของกิจการให้สูงขึ้นโดยการอาศัยการวางแผนภาษีอากรในส่วนนี้จะเป็นการวางแผนภาษีให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร ตามประเภทของธุรกิจ เช่น ซื้อขายสินค้า ,บริการ,โรงเรียนเอกชน,มูลนิธิ,สมาคม,นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร/อาคารชุด ธุรกิจห้องเช่าหรืออพาร์ทเมนทร์ และนายหน้าประกันภัย เป็นต้น

 

   2. การทำบัญชีให้มีคุณภาพ

   การทำบัญชีให้มีคุณภาพจะประกอบด้วย แนวปฏิบัติ ดังนี้

      1.การจัดระบบการทำงานให้สอดคล้องกับโปรแกรมบัญชี

      1.1. พยายามปรับระบบการทำงานให้เข้ากับโปรแกรมบัญชีมากที่สุด เพื่อลดปัญหาการเขียนโปรแกรมเพิ่ม

      1.2. ทดลองนำข้อมูลเข้าในแต่ละระบบ และตรวจสอบ และปรับปรุงแก้ไข

      1.3. ใช้จริง ติดตามผล และปรับปรุงแก้ไข

 

      2.กำหนดเป้าหมายตัวชี้วัด ที่เป็นไปได้

     เป็นการกำหนด เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เช่น

     }  ปิดบัญชีตรงเวลา 90 %

     }  จำนวนบัญชีที่ต้องแก้ไขหลังจากที่ปิดแล้ว ไม่เกิน 3% ของรายการบัญชีทั้งหมด

     }  ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงจากพนักงาน มากกว่า 2 เรื่องต่อเดือน

     }  จำนวนข้อบกพร่องที่ได้จากการตรวจสอบ  2จุดต่อเดือน

     }  จำนวนครั้งที่ปิดบัญชีช้า และทำให้ต้องเสียค่าปรับ

 

      3.มีการตรวจสอบติดตาม และปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

       ในส่วนนี้จะเป็นการตั้งคณะกรรมการคุณภาพ  เพื่อตรวจสอบ ติดตาม และปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ภารกิจหลักของคณะกรรมการคุณภาพได้แก่

        –    กำหนดมาตรฐานคุณภาพในการทำงาน

        –    พิจารณาให้ความเห็นชอบในการทำงานคุณภาพ

        –    กำหนดระยะเวลาการตรวจสอบ

        –    จัดทำรายงาน และกำหนดแนวทางการแก้ไข

 

อ้างอิง

https://buncheesiam.com/

http://www.atsaccounting.co.th/

 

 

สำนักงานบัญชี รับทำบัญชี โปรแกรมบัญชี รับจดทะเบียนบริษัท อบรมบัญชี รับตรวจสอบบัญชี


บทความทางบัญชี