เตรียมความพร้อมการทำบัญชีโรงพยาบาลสัตว์อย่างถูกต้อง
การทำบัญชีสำหรับ โรงพยาบาลสัตว์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การบันทึกตัวเลขรายรับรายจ่ายเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับ ภาษี ประกันสังคม และกฎหมาย ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากจัดการไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดปัญหาทั้งด้านภาษี ค่าปรับ หรือแม้แต่กระทบต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจได้
บทความนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางการทำบัญชีสำหรับเจ้าของโรงพยาบาลสัตว์ และผู้ที่ดูแลด้านบัญชีโดยเฉพาะ เราจะพาไปรู้จักกับการเตรียมความพร้อมการทำบัญชี ภาษีที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง? ต้องเตรียมเอกสารสำคัญอย่างไร? ระบบประกันสังคมที่ต้องจัดการ? และแนวทางทำบัญชีให้ถูกต้อง...
1.รู้จักภาษีที่เกี่ยวข้อง
โรงพยาบาลสัตว์มีภาระหน้าที่ทางภาษีที่ต้องพิจารณาหลายประเภท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการจดทะเบียนของกิจการ (บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล) และขนาดของรายได้
1.1.ภาษีที่ต้องชำระ
- ภาษีเงินได้
- บุคคลธรรมดา หากเจ้าของกิจการเป็นบุคคลธรรมดา จะต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยคำนวณจากเงินได้สุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายตามจริงหรือในอัตราเหมา
- นิติบุคคล หากจดทะเบียนในรูปแบบบริษัทจำกัด จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิของบริษัท
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
- โรงพยาบาลสัตว์ที่มีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเรียกเก็บ VAT ในอัตรา 7% จากค่าบริการบางประเภท
- บริการที่ต้องเสีย VAT ค่าบริการตรวจรักษา, ค่าบริการทางการแพทย์อื่นๆ, ค่าฝากเลี้ยง, ค่าอาบน้ำตัดขน และสินค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยารักษาโรคสัตว์
- บริการที่ได้รับยกเว้น VAT การขายยารักษาโรคสัตว์ ถือเป็นสินค้าที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
- กรณีโรงพยาบาลเป็นผู้จ่ายเงิน เมื่อมีการจ่ายค่าจ้างพนักงาน (เงินเดือน), ค่าบริการ หรือค่าเช่าต่างๆ โรงพยาบาลมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนด (เช่น หัก 3% สำหรับค่าบริการ) แล้วนำส่งกรมสรรพากร
- กรณีโรงพยาบาลเป็นผู้รับเงิน หากให้บริการแก่ลูกค้าที่เป็นนิติบุคคล ลูกค้าจะหักภาษี ณ ที่จ่ายจากค่าบริการ และโรงพยาบาลสามารถนำภาษีที่ถูกหักไว้นี้ไปเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีสิ้นปีได้
หากโรงพยาบาลมีการติดตั้งป้ายชื่อสถานประกอบการ จะต้องชำระภาษีป้ายเป็นประจำทุกปี โดยอัตราภาษีจะขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของข้อความบนป้าย
1.2.ภาษีที่ได้รับยกเว้น
ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น รายการหลักที่โรงพยาบาลสัตว์ได้รับ การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ยารักษาโรคสัตว์ ซึ่งรวมถึงเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการรักษาโดยตรง ดังนั้น ในการออกใบกำกับภาษีจะต้องแยกรายการค่าบริการ (มี VAT) และค่ายา (ไม่มี VAT) ให้ชัดเจน
2.เตรียมเอกสารประกอบด้านภาษี
การเตรียมเอกสารให้พร้อมเป็นหัวใจสำคัญของการทำบัญชีและการยื่นภาษีที่ถูกต้อง
- ภาษีเงินได้ (นิติบุคคล)
- แบบ ภ.ง.ด. 50 สำหรับยื่นภาษีสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
- งบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
- เอกสารประกอบรายได้และค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ใบกำกับภาษีขาย, ใบเสร็จรับเงิน, ใบกำกับภาษีซื้อ, ใบสำคัญจ่าย
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม
- แบบ ภ.พ. 30 สำหรับยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือน
- รายงานภาษีซื้อและรายงานภาษีขาย
- สำเนาใบกำกับภาษีขายและต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อ
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
- แบบ ภ.ง.ด. 3, 53 สำหรับนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ตามประเภทผู้รับเงิน)
- หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ที่ออกให้กับผู้รับเงิน
3.การดำเนินการด้านประกันสังคม
เมื่อโรงพยาบาลสัตว์มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป นายจ้างมีหน้าที่ต้องขึ้นทะเบียนนายจ้างและนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีลูกจ้าง
3.1.เอกสารประกอบการขึ้นทะเบียนนายจ้าง (กองทุนประกันสังคม)
- แบบขึ้นทะเบียนนายจ้าง (สปส. 1-01)
- สำเนาหรือภาพถ่ายหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล พร้อมวัตถุประสงค์ (กรณีนิติบุคคล)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของนายจ้าง หรือของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม (กรณีนิติบุคคล)
- แผนที่ตั้งของสถานประกอบการ
- หนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นกระทำการแทน) พร้อมติดอากรแสตมป์ และสำเนาบัตรประชาชนของผู้มอบและผู้รับมอบอำนาจ
หลังจากขึ้นทะเบียนแล้ว นายจ้างจะต้องนำส่งเงินสมทบในส่วนของนายจ้างและลูกจ้างเป็นประจำทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
4.แนวทางการทำบัญชีให้ถูกต้อง
การวางระบบบัญชีที่ดีจะช่วยให้การจัดการภาษีและประกันสังคมเป็นเรื่องง่ายและลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาด
- แยกประเภทรายได้ให้ชัดเจน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับโรงพยาบาลสัตว์คือการแยกระบบการบันทึกรายได้ระหว่าง รายได้ที่มี VAT (ค่าบริการ, ค่าฝาก, สินค้าอื่นๆ) และ รายได้ที่ยกเว้น VAT (ค่ายารักษาโรคสัตว์) อย่างชัดเจน อาจใช้การแยกหมวดหมู่ในโปรแกรมบัญชี หรือแยกเล่มใบกำกับภาษี
- จัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย บันทึกรายรับและรายจ่ายทั้งหมดของกิจการอย่างสม่ำเสมอ โดยมีเอกสารหลักฐานที่น่าเชื่อถือประกอบทุกรายการ
- บริหารสต็อกสินค้าและยา จัดทำระบบควบคุมสต็อกยารักษาโรคและสินค้าอื่นๆ เพื่อให้สามารถตรวจสอบจำนวนคงเหลือและคำนวณต้นทุนขายได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการคำนวณกำไรสุทธิ
- เก็บรักษาเอกสารทางบัญชี ต้องเก็บรักษาเอกสารต่างๆ ที่ใช้ในการลงบัญชี เช่น ใบเสร็จรับเงิน, ใบกำกับภาษี, ใบสำคัญจ่าย ไว้ให้เรียบร้อยอย่างน้อย 5 ปี เพื่อให้พร้อมสำหรับการตรวจสอบจากกรมสรรพากร
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: การมีสำนักงานบัญชีที่มีความเข้าใจในธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์โดยเฉพาะ จะช่วยให้การวางแผนภาษีและการจัดการบัญชีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
การเตรียมความพร้อมในประเด็นต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยให้ การทำบัญชีโรงพยาบาลสัตว์ได้อย่างเป็นมืออาชีพและครบวงจร
|