8 ขั้นตอนวางระบบบัญชี ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจซื้อมา–ขายไป

สำนักงานบัญชี รับทำบัญชี โปรแกรมบัญชี รับจดทะเบียนบริษัท อบรมบัญชี รับตรวจสอบบัญชี

 

ทำไมการวางระบบบัญชีตั้งแต่แรกถึงสำคัญ?

   ลองนึกภาพการเดินทางโดยไม่มีแผนที่หรือเข็มทิศ…  ธุรกิจของคุณก็เช่นกัน… หากไม่มีระบบบัญชีที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น คุณอาจต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เช่น เงินขาดมือบ่อยครั้ง เพราะไม่รู้ว่าเงินเข้าออกเท่าไหร่ ทำให้การวางแผนการเงินผิดพลาด หรือมีปัญหาเกี่ยวกับสต็อกสินค้า เช่น สั่งของมามากเกินความจำเป็นจนทำให้เงินทุนจม หรือในทางกลับกัน สินค้าขาดสต็อกจนเสียโอกาสในการขาย

   นอกจากนี้ หากระบบบัญชีไม่ชัดเจน อาจส่งผลต่อการคำนวณภาษีผิดพลาด ซึ่งนำไปสู่ค่าปรับหรือปัญหาทางกฎหมายในภายหลัง การวางระบบบัญชีที่ดีตั้งแต่ต้น จึงเป็นเหมือนการปูทางให้ธุรกิจสามารถมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน ควบคุมการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ได้อย่างมั่นใจและแม่นยำยิ่งขึ้น

8 ขั้นตอนวางระบบบัญชีเบื้องต้นสำหรับธุรกิจซื้อมา–ขายไป

  1. กำหนดโครงสร้างธุรกิจให้ชัดเจน

  ก่อนจะเริ่มทำบัญชีได้อย่างถูกต้อง สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการเข้าใจโครงสร้างธุรกิจของตัวเองให้ชัดเจน เพราะจะมีผลต่อทั้งรูปแบบการบันทึกบัญชี ภาระภาษี และการจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้อง หากเลือกโครงสร้างไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดความยุ่งยากในภายหลัง 

  • เลือกประเภทธุรกิจ คุณจดทะเบียนเป็น บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล (เช่น บริษัทจำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด)? การเลือกประเภทนี้มีผลต่อกฎเกณฑ์ทางภาษีและการทำบัญชีทั้งหมด
  • รู้ระบบภาษีของธุรกิจคุณเอง คุณต้องทำความเข้าใจว่าธุรกิจของคุณเข้าข่าย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และจำเป็นต้องจดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือไม่? การเลือกและทำความเข้าใจระบบภาษีตั้งแต่แรกจะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมเรื่องเอกสารและวิธีการบันทึกบัญชีได้อย่างถูกต้อง

   การกำหนดโครงสร้างธุรกิจและระบบภาษีที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้น จะช่วยปูทางให้การทำบัญชีเป็นระบบ และสอดคล้องกับกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  1. จัดเตรียมเอกสารพื้นฐานให้พร้อม

  เอกสารเป็นหัวใจสำคัญของการทำบัญชีที่ถูกต้องและตรวจสอบได้ หากคุณมีระบบจัดเก็บเอกสารที่เป็นระเบียบ จะช่วยให้งานบัญชีดำเนินไปอย่างราบรื่น และลดปัญหาการขาดข้อมูลเมื่อถึงเวลายื่นภาษีหรือถูกตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐ เอกสารที่ควรจัดเตรียมไว้ให้พร้อม ได้แก่

  • ใบสำคัญรับ-จ่าย เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี (ภาษีซื้อ/ภาษีขาย) ใบส่งของ
  • สัญญาที่เกี่ยวข้อง เช่น สัญญาซื้อขายกับซัพพลายเออร์หรือลูกค้า สัญญาเช่าที่ทำการ (ถ้ามี)
  • ทะเบียนพาณิชย์ เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงการมีอยู่ของธุรกิจคุณ (กรณีจดทะเบียนธุรกิจ)

 

  1. วางระบบการบันทึกรายการซื้อ–ขาย

  ธุรกิจซื้อมาขายไปมีหัวใจหลักอยู่ที่ “การซื้อสินค้าเข้ามา” และ “การขายสินค้าออกไป” ดังนั้น การวางระบบบันทึกรายการซื้อ–ขายให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้คุณควบคุมต้นทุน วิเคราะห์รายได้ และจัดการภาษีได้อย่างถูกต้อง ซึ่งควรให้ความสำคัญกับ 3 ส่วนหลักดังนี้

  • บันทึกการซื้อสินค้า ทุกครั้งที่ซื้อสินค้าเข้าร้าน ควรบันทึกรายละเอียดให้ครบถ้วน เช่น วันที่ซื้อ ชื่อผู้ขาย จำนวนสินค้า ราคาต่อหน่วย และภาษีซื้อ (ถ้ามี) เพื่อให้สามารถตรวจสอบต้นทุนสินค้าและภาษีที่สามารถขอคืนได้
  • บันทึกการซื้อสินค้า ควรบันทึกรายละเอียดให้ครบถ้วน เช่น ชื่อผู้ขาย จำนวน ราคาต่อหน่วย ภาษีซื้อ (ถ้ามี) เพื่อควบคุมต้นทุนได้อย่างแม่นยำ
  • บันทึกการขายสินค้า ทุกครั้งที่ขาย ต้องระบุชื่อผู้ซื้อ จำนวน ราคาขาย ภาษีขาย (ถ้ามี) เพื่อให้สามารถคำนวณรายได้และภาษีได้อย่างถูกต้อง
  • ระบบใบกำกับภาษี ควรตัดสินใจว่าจะใช้แบบ เต็มรูป หรือ แบบย่อ ให้เหมาะสมกับธุรกิจและลูกค้า

   หากระบบซื้อ–ขายถูกจัดวางอย่างรัดกุมตั้งแต่ต้น จะช่วยลดข้อผิดพลาดในการทำบัญชี และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารธุรกิจได้อย่างมาก

 

  1. สร้างระบบการจัดการสินค้าคงคลัง

   การบริหารสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจซื้อมาขายไปลดความเสี่ยงจากการจมทุน หรือการขาดสต็อกที่ทำให้พลาดโอกาสในการขาย หากไม่มีระบบที่ดี อาจทำให้ควบคุมต้นทุนไม่ได้ หรือเกิดสินค้าสูญหายโดยไม่รู้ตัว

   ในการจัดการสินค้าคงคลังอย่างเป็นระบบ ควรเริ่มจาก…

  • กำหนดรหัสสินค้า กำหนดรหัสเฉพาะให้กับสินค้าแต่ละชนิด เพื่อให้ง่ายต่อการจัดเก็บ ค้นหา และควบคุมข้อมูลในระบบบัญชีและสต็อก
  • บันทึกยอดคงเหลือต้นงวด–ปลายงวด หมั่นบันทึกจำนวนสินค้าที่มีอยู่ในต้นงวดบัญชี และปลายงวดบัญชี เพื่อนำไปคำนวณต้นทุนขาย และตรวจสอบสต็อกคงเหลือได้อย่างแม่นยำ
  • ใช้โปรแกรมช่วยจัดการ ไม่ว่าจะเป็น Excel สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก หรือโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปที่มีฟังก์ชันบริหารสต็อก จะช่วยให้การจัดการสินค้าคงคลังมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดข้อผิดพลาดจากการบันทึกด้วยมือ

   การมีระบบคลังสินค้าที่ดี ไม่เพียงแต่ช่วยควบคุมต้นทุน แต่ยังเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ และเตรียมพร้อมสำหรับการขยายกิจการในอนาคตได้อย่างมั่นใจ

 

  1. วางระบบการบันทึกค่าใช้จ่าย

   ค่าใช้จ่ายในธุรกิจแม้จะดูเหมือนไม่มากในแต่ละรายการ แต่เมื่อสะสมแล้วสามารถส่งผลต่อกำไรโดยรวมได้อย่างมาก ดังนั้นการวางระบบการบันทึกค่าใช้จ่ายให้เป็นระบบตั้งแต่ต้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งในแง่การควบคุมต้นทุนและการยื่นภาษีอย่างถูกต้อง

  • แยกประเภทค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่าร้าน ค่าขนส่ง ค่าสาธารณูปโภค ค่าโฆษณา และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ข้อมูลและวางแผนลดต้นทุนในอนาคต
  • เก็บหลักฐานการจ่ายเงินทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จ ใบกำกับภาษี หรือสลิปโอนเงิน เพื่อใช้ประกอบการบันทึกบัญชีและตรวจสอบภายหลัง

   การมีข้อมูลค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนและครบถ้วนจะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของการดำเนินธุรกิจ และสามารถวางแผนการเงินได้อย่างแม่นยำและเป็นมืออาชีพ

 

  1. สร้างระบบการบันทึกรายรับ–รายจ่ายประจำวัน

   การติดตามกระแสเงินสดในแต่ละวันเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยให้เจ้าของธุรกิจรู้ว่ามีเงินเข้าออกเท่าไรในแต่ละวัน เหลือเงินสดหมุนเวียนแค่ไหน และสามารถวางแผนใช้จ่ายได้ดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจซื้อมาขายไปที่มีรายการเงินสดเคลื่อนไหวจำนวนมาก

  • สร้างสมุดรายวัน (Cash Book) เพื่อบันทึกรายรับและรายจ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งเงินสดที่รับเข้ามาและเงินที่จ่ายออกไป
  • แยกบัญชีเงินสดและบัญชีธนาคารให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสน และสามารถตรวจสอบยอดคงเหลือได้อย่างถูกต้อง

   เมื่อมีระบบที่ดีในการบันทึกกระแสเงินสด จะช่วยให้คุณควบคุมการเงินได้ง่ายขึ้น ลดความผิดพลาดในการใช้จ่าย และเตรียมพร้อมสำหรับการทำบัญชีอย่างเป็นระบบต่อไป

 

  1. จัดการระบบการจ่ายเงินเดือนและค่าจ้าง (ถ้ามีพนักงาน)

   หากธุรกิจของคุณมีการจ้างพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างประจำหรือชั่วคราว การมีระบบจ่ายเงินเดือนที่ชัดเจนจะช่วยลดปัญหาเรื่องความไม่เข้าใจ และยังช่วยให้การคำนวณภาษีและการยื่นเอกสารต่าง ๆ เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

  • บันทึกข้อมูลพนักงาน เช่น ชื่อ อายุ ตำแหน่ง วันที่เริ่มงาน และอัตราค่าจ้าง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจ่ายเงินเดือนและจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้อง
  • คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ให้ถูกต้องตามเกณฑ์ หากรายได้ของพนักงานถึงเกณฑ์ต้องหักภาษี และอย่าลืมนำส่งภาษีพร้อมยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.1 ให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด

   การจัดระบบที่ดีตั้งแต่แรกจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินการด้านแรงงานและภาษีได้อย่างมืออาชีพ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงานในระยะยาว

 

  1. ทำความเข้าใจการจัดทำงบการเงินเบื้องต้น

   แม้จะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก การเข้าใจงบการเงินพื้นฐานก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะช่วยให้คุณรู้ว่าสถานะของธุรกิจเป็นอย่างไร กำไรหรือขาดทุนมากน้อยเพียงใด และจะใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการวางแผนและตัดสินใจได้อย่างมีหลักฐานรองรับ

  • งบฐานะการเงิน แสดงภาพรวมของสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อให้รู้ว่าธุรกิจมีฐานะการเงินเป็นอย่างไร
  • งบกำไรขาดทุน แสดงผลการดำเนินงานของธุรกิจในช่วงเวลาหนึ่ง โดยแยกให้เห็นว่ารายได้ที่ได้รับเท่าไร มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และสุดท้ายเหลือเป็นกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ

   เมื่อเข้าใจงบการเงินเบื้องต้นแล้ว คุณจะสามารถวิเคราะห์ธุรกิจของตัวเองได้อย่างมั่นใจ และพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน

บทความทางบัญชี

 

ติดตามเราได้ที่